คุณเป็นหนึ่งในคนที่ต้องเผชิญกับอาการแสบร้อนกลางอกที่ปวดแสบปวดร้อนจนทำอะไรก็ไม่เป็นสุขบ้างไหมคะ? ทั้งๆ ที่คุณก็พยายามเลี่ยงอาหารรสจัด เผ็ดร้อน เปรี้ยวจัด หรือเครื่องดื่มอย่างชา กาแฟ หรือแม้กระทั่งความเครียดที่รุมเร้าจิตใจแล้ว แต่ทำไมอาการเหล่านั้นยังกลับมากวนใจอยู่เรื่อยๆ?
บ่อยครั้งที่เราถูกสอนหรือเข้าใจว่ากรดไหลย้อนเกิดจาก ‘อาหาร’ เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นอาหารรสจัดจ้าน เผ็ดร้อน เปรี้ยวจัด หรือเครื่องดื่มอย่างชา กาแฟ หรือแม้กระทั่ง ‘ความเครียด’ ที่รุมเร้าจิตใจ ซึ่งนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ถูกต้องค่ะ แต่จะบอกอะไรให้นะคะ ว่ายังมี ‘ต้นตอที่ซ่อนเร้น’ ซึ่งก็คือ ‘พฤติกรรม’ ในชีวิตประจำวันของเราเอง ที่คุณอาจไม่เคยเฉลียวใจเลยว่ามันกำลังบ่อนทำลายระบบย่อยอาหาร และเป็นตัวจุดชนวนให้กรดไหลย้อนถามหาอยู่ตลอดเวลา!
กรดไหลย้อนคืออะไร?
ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกถึงพฤติกรรมต้นเหตุ เรามาทำความเข้าใจพื้นฐานของกรดไหลย้อนกันสักนิดนะคะ ลองนึกภาพหลอดอาหารของเราเป็นท่อส่งอาหารจากปากลงสู่กระเพาะนะคะ ที่ปลายท่อตรงรอยต่อกับกระเพาะ จะมีกล้ามเนื้อหูรูดเล็กๆ ทำหน้าที่เหมือนวาล์วเปิด-ปิด คอยกั้นไม่ให้กรดจากกระเพาะซึ่งมีสภาพเป็นกรดสูง ไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหาร
แต่เมื่อใดที่กล้ามเนื้อหูรูดนี้ ‘หย่อนยาน’ หรือ ‘ทำงานผิดปกติ’ กรดจากกระเพาะก็จะสามารถไหลย้อนขึ้นมาตามหลอดอาหารได้ง่ายๆ ทำให้เกิดอาการ แสบร้อนกลางอก (Heartburn), เรอเปรี้ยว, มีรสขมในคอ, หรือรู้สึกจุกแน่นที่คอและหน้าอกนั่นเองค่ะ การทำความเข้าใจกลไกง่ายๆ นี้ จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นว่า ‘พฤติกรรม’ ในชีวิตประจำวันของคุณมีผลกระทบโดยตรงต่อการทำงานของวาล์วตัวนี้ได้อย่างไร
พฤติกรรมที่คุณไม่เคยรู้ว่าเป็น “ต้นเหตุ”
ได้เวลามาดูกันแล้วค่ะว่า ‘ผู้ร้ายที่ซ่อนเร้น’ ในชีวิตประจำวันของคุณมีอะไรบ้าง ที่คุณอาจไม่เคยรู้เลยว่ามันกำลังบ่อนทำลายสุขภาพระบบย่อยอาหารของคุณอยู่

กินเร็ว เคี้ยวไม่ละเอียด
ในยุคที่ทุกอย่างเร่งรีบ การกินเร็วกลายเป็นเรื่องปกติ แต่มันไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับระบบย่อยอาหารของคุณเลยค่ะ
- กลไกที่ส่งผล: เมื่อคุณกินเร็ว เรามักจะกลืน ‘ลม’ เข้าไปพร้อมอาหารในปริมาณมาก ซึ่งลมเหล่านี้จะไปเพิ่มแรงดันในกระเพาะอาหารโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้ การเคี้ยวไม่ละเอียดก็หมายความว่าอาหารยังมีชิ้นใหญ่เกินไป ทำให้กระเพาะอาหารต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อย่อยอาหารเหล่านั้น
- ผลลัพธ์: แรงดันที่เพิ่มขึ้นในกระเพาะ และอาหารที่ค้างอยู่ในกระเพาะนานกว่าปกติ จะกระตุ้นให้กระเพาะผลิตกรดออกมามากขึ้น และแรงดันนี้เองที่พร้อมจะดันกรดและอาหารกลับขึ้นไปในหลอดอาหารทันทีที่กล้ามเนื้อหูรูดเปิดออก
- คำแนะนำในการปรับเปลี่ยน: ให้เวลากับมื้ออาหารมากขึ้น ลองฝึกกินช้าลง เคี้ยวอาหารให้ละเอียดอย่างน้อย 20-30 ครั้งต่อคำ วางช้อนส้อมลงระหว่างเคี้ยวและกลืน เพื่อให้ร่างกายได้ส่งสัญญาณความอิ่มและให้ระบบย่อยอาหารได้เริ่มต้นทำงานอย่างเต็มที่ตั้งแต่ในช่องปาก
กินเยอะเกินไปในมื้อเดียว (Overeating)
อาจจะเพราะอร่อย หรือเพราะความหิวที่สะสมมาทั้งวัน ทำให้เราเผลอกินเข้าไปเยอะเกินกว่าที่กระเพาะจะรับไหว
- กลไกที่ส่งผล: การอัดอาหารปริมาณมากเข้าไปในกระเพาะอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จะทำให้กระเพาะอาหารขยายตัวมากเกินไป และสร้างแรงดันภายในกระเพาะที่สูงลิ่ว ซึ่งแรงดันนี้จะไปกดดันกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างโดยตรง
- ผลลัพธ์: เมื่อหูรูดถูกกดดันมากเข้า มันก็ง่ายที่จะ ‘แง้ม’ ออก ทำให้กรดและอาหารที่กำลังจะย่อย ไหลย้อนกลับขึ้นไปสู่หลอดอาหารได้ในทันที
- คำแนะนำในการปรับเปลี่ยน: ลองเปลี่ยนมา แบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อย่อยๆ 5-6 มื้อต่อวัน แทนที่จะกิน 3 มื้อใหญ่ๆ หรือฝึกกิน ‘พออิ่ม 80% ของกระเพาะ’ คือกินจนรู้สึกว่าไม่หิวแล้ว ไม่ใช่กินจนจุก
กินแล้วนอนทันที / เอนตัวนอนทันที
หลังมื้อเย็นที่แสนอร่อย หลายคนมักจะเผลอเอนตัวลงนอนดูทีวี หรือหลับไปเลย เพราะความสบายและความง่วงที่มาพร้อมการอิ่ม
- กลไกที่ส่งผล: เมื่อคุณนอนราบ แรงโน้มถ่วงของโลกที่เคยช่วยพยุงอาหารและกรดไว้ในกระเพาะก็จะหมดบทบาทลง ทำให้กรดและอาหารที่ยังย่อยไม่เสร็จ สามารถไหลย้อนกลับขึ้นมาในหลอดอาหารได้ง่ายดายยิ่งขึ้น
- ผลลัพธ์: นี่คือเหตุผลว่าทำไมอาการแสบร้อนกลางอกมักจะแย่ลงในเวลากลางคืน หรือตอนตื่นนอน นั่นก็เพราะกรดไหลย้อนขึ้นมาค้างอยู่ในหลอดอาหารเราในขณะที่เราหลับนั่นเองค่ะ
- คำแนะนำในการปรับเปลี่ยน: งดนอนหลังกินอาหารอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้กระเพาะมีเวลาในการย่อยอาหารอย่างเพียงพอ หากรู้สึกง่วงจริงๆ ให้ลองนั่งตัวตรง หรือนั่งพิงโซฟาในท่าที่เอนตัวไม่มากนัก
เสื้อผ้าที่รัดแน่นบริเวณหน้าท้อง
แฟชั่นบางครั้งก็มาพร้อมกับความไม่สบายตัว โดยเฉพาะเสื้อผ้าที่รัดแน่นบริเวณหน้าท้อง เช่น กางเกงเอวสูงที่รัดเป๊ะ หรือเข็มขัดที่คาดแน่นจนเกินไป
- กลไกที่ส่งผล: เสื้อผ้าที่รัดแน่นเหล่านี้จะ เพิ่มแรงดันภายในช่องท้องโดยตรง เปรียบเสมือนการบีบรัดกระเพาะอาหารของคุณเบาๆ ตลอดเวลา
- ผลลัพธ์: เมื่อกระเพาะถูกบีบรัด แรงดันที่เกิดขึ้นก็จะดันเอาทั้งอาหารและกรดในกระเพาะ ให้ไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหารได้ง่ายขึ้น ซึ่งบางครั้งอาจจะโดยที่คุณไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ
- คำแนะนำในการปรับเปลี่ยน: หันมาเลือกสวมใส่ เสื้อผ้าที่หลวมสบาย ไม่รัดแน่นบริเวณหน้าท้อง โดยเฉพาะหลังมื้ออาหาร หรือเลี่ยงการใช้เข็มขัดที่คาดรัดแน่นจนอึดอัด
ท่านั่ง/ท่ายืนที่ไม่เหมาะสม (โดยเฉพาะหลังกินอาหาร)
หลังมื้ออาหาร หลายคนอาจจะเผลอนั่งหลังค่อม งอตัว หรือก้มหน้าก้มตาทำงานโดยไม่รู้ตัว
- กลไกที่ส่งผล: ท่านั่งหรือท่ายืนที่งอตัว ก้มตัว หรือหลังค่อม จะทำให้ช่องท้องถูกบีบอัด ส่งผลให้เกิดแรงดันภายในช่องท้องและกระเพาะอาหารคล้ายๆ กับการสวมเสื้อผ้าที่รัดแน่น
- ผลลัพธ์: แรงดันที่เพิ่มขึ้นนี้จะไปกดดันกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง และดันกรดในกระเพาะให้ไหลย้อนกลับขึ้นมาสร้างความระคายเคืองในหลอดอาหารได้ง่ายขึ้น
- คำแนะนำในการปรับเปลี่ยน: ฝึกนั่งและยืนด้วยท่าทางที่ถูกต้อง คือ หลังตรง อกผายไหล่ผึ่ง พยายามหลีกเลี่ยงการก้มตัวมากๆ หรือนั่งงอตัวเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ
การออกกำลังกายบางประเภททันทีหลังอาหาร
เป็นเรื่องดีที่คุณห่วงใยสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย แต่เวลาและประเภทของการออกกำลังกายก็สำคัญกับผู้มีปัญหากรดไหลย้อนค่ะ
- กลไกที่ส่งผล: การออกกำลังกายที่มีการกระแทกสูง (High-impact) เช่น การวิ่ง กระโดด หรือการยกน้ำหนัก รวมถึงท่าออกกำลังกายที่ต้องก้มตัวอย่างรุนแรงทันทีหลังอาหาร จะทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนและแรงดันภายในช่องท้องอย่างรุนแรง
- ผลลัพธ์: แรงกระแทกและแรงดันเหล่านี้จะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหูรูดเปิดออก และดันเอาอาหารกับกรดในกระเพาะไหลย้อนกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดอาการแสบร้อนหรือเรอเปรี้ยวขณะออกกำลังกาย
- คำแนะนำในการปรับเปลี่ยน: หากจำเป็นต้องออกกำลังกายหลังอาหาร ให้เลือกการออกกำลังกายเบาๆ
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้อย่างไรดี?
หลังจากที่เราได้ทำความรู้จักกับ ‘ผู้ร้ายที่ซ่อนเร้น’ เหล่านี้แล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะลงมือ ‘เปลี่ยนแปลง’ เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นกันแล้วค่ะ หัวใจสำคัญคือ ‘การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ แต่ทำได้อย่างสม่ำเสมอ’ ดีกว่าการพยายามเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แต่ทำได้ไม่นานค่ะ
นี่คือแนวทางปฏิบัติที่คุณสามารถนำไปใช้ได้

- สร้างตารางการกินและการนอนที่สม่ำเสมอ: การมีวินัยในการกินและการนอนจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกัน
- ฝึกสติกับการกิน (Mindful Eating): ให้ความสนใจกับอาหารตรงหน้า เคี้ยวให้ละเอียด รับรู้รสชาติและสัมผัสของอาหาร จะช่วยให้คุณกินช้าลงและรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น
-
จัดการความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ: แม้บทความนี้จะเน้นพฤติกรรมอื่น แต่ความเครียดก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อระบบย่อยอาหาร การทำสมาธิ โยคะ หรือหากิจกรรมผ่อนคลายที่คุณชอบจะช่วยได้มาก
-
ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ: หากคุณได้ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้แล้ว แต่อาการยังไม่ดีขึ้น หรือรุนแรงขึ้น อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
สรุปและข้อคิด (Conclusion)
มาถึงตรงนี้ คุณคงเห็นแล้วนะคะ ว่าอาการกรดไหลย้อนไม่ได้เกิดจากแค่อาหารรสจัดจ้านหรือความเครียดเท่านั้น แต่เป็นผลรวมของ ‘พฤติกรรม’ เล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันของเราเอง ที่เรามองข้ามไป ข่าวดีก็คือ ‘คุณมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลง!’ เพียงแค่คุณตระหนักรู้ถึงพฤติกรรมเหล่านี้ และเริ่มต้นปรับเปลี่ยนทีละเล็กทีละน้อยอย่างสม่ำเสมอ คุณก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืนค่ะ
อย่างไรก็ตาม หากคุณได้พยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเต็มที่แล้ว แต่อาการยังคงรุนแรง หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย สิ่งสำคัญที่สุดคือ ‘อย่าละเลย’ และ ‘ควรปรึกษาแพทย์’ เพื่อรับการวินิจฉัยที่แม่นยำและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
คำเตือน (Disclaimer): บทความนี้ให้ข้อมูลเพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจะใช้แทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์เสมอหากมีข้อกังวลเกี่ยวกับสุขภาพหรือต้องการคำแนะนำเฉพาะบุคคล
แหล่งอ้างอิง:
- Khan, M., et al. (2019). “The effect of left lateral decubitus position on nocturnal gastroesophageal reflux: a randomized controlled trial.” *American Journal of Gastroenterology*, 114(Supplement 1), S34-S35.
- โรคกรดไหลย้อน | โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับกรดไหลย้อน)
- คำแนะนำในการดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน | คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล (แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ป่วย)
CHA-LIIN ชาลีน หมอของขวัญ ชาลดบวม ขับโซเดียม 1 แถม 1
฿1,380.00฿690.00ลินดาร์เรีย ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เรสเวอรทรอลจากเปลือกองุ่น
Madame Louise AGE Defy Soap 120g
POW พาว น้ำพลูคาวขนาด 750ml ซื้อ 1 แถม 1
฿3,960.00฿1,980.00