ทำไม “น้ำมันสกัดเย็น” ถึงต่างจากน้ำมันทั่วไปในครัว?

cold-pressed-oil-different-other-oil

น้ำมันสำหรับประกอบอาหารเป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญที่ส่งผลต่อรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการของอาหารที่เรารับประทาน น้ำมันหลากหลายชนิดที่ใช้กันอยู่ในครัวมีทั้งน้ำมันที่ผ่านการกลั่นและน้ำมันสกัดเย็น ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะและประโยชน์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา น้ำมันสกัดเย็นได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีข้อดีในเรื่องของการรักษาคุณค่าทางโภชนาการและสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าน้ำมันทั่วไป แต่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าความแตกต่างเหล่านี้มีที่มาที่ไปอย่างไร และทำไมการเลือกใช้น้ำมันสกัดเย็นจึงเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ทั้งในแง่ของการปรุงอาหารและการป้องกันโรค

น้ำมันสกัดเย็นคืออะไร?

น้ำมันสกัดเย็นหมายถึงน้ำมันที่ได้มาจากการสกัดโดยไม่ใช้ความร้อนหรือสารเคมีเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิต การสกัดน้ำมันแบบนี้ทำให้สารอาหารสำคัญ เช่น วิตามิน วิตามินอี กรดไขมันจำเป็น และสารต้านอนุมูลอิสระ ยังคงอยู่ในน้ำมันอย่างครบถ้วน เพราะไม่ได้ผ่านความร้อนสูงที่อาจทำลายสารเหล่านี้

กระบวนการสกัดเย็นจะใช้แรงกดเพื่อสกัดน้ำมันออกจากเมล็ดพืชหรือผลไม้ เช่น เมล็ดมะกอก เมล็ดงา หรือ เมล็ดทานตะวัน โดยจะควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ต่ำกว่า 40 องศาเซลเซียส ซึ่งช่วยรักษาคุณภาพของน้ำมันและกลิ่นรสธรรมชาติได้มากกว่าน้ำมันที่ผ่านการกลั่น

น้ำมันสกัดเย็นที่นิยมใช้ในบ้านเรามีหลายชนิด เช่น

  • น้ำมันมะกอกสกัดเย็น (Extra Virgin Olive Oil) ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงและรสชาติหอมหวาน
  • น้ำมันงาสกัดเย็นที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวและมีโอเมก้า 6 สูง
  • น้ำมันเมล็ดฟักทอง ที่อุดมไปด้วยสารอาหารบำรุงสุขภาพ

น้ำมันทั่วไปในครัวคืออะไร?

น้ำมันทั่วไปในครัวส่วนใหญ่คือ น้ำมันที่ผ่านการกลั่น (Refined Oil) หรือผ่านความร้อนสูงในกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มอายุการเก็บรักษาและลดกลิ่นรสของวัตถุดิบต้นทาง กระบวนการนี้มักใช้สารเคมีและความร้อนเพื่อแยกสิ่งเจือปน เช่น กาก เมล็ด หรือสารที่ไม่พึงประสงค์ ออกไปจนได้น้ำมันที่ใสและมีรสชาติเป็นกลาง

ตัวอย่างน้ำมันทั่วไปที่ใช้ในครัว ได้แก่ น้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว และน้ำมันคาโนลา น้ำมันเหล่านี้มักเหมาะสำหรับการปรุงอาหารที่ต้องใช้ความร้อนสูง เช่น การทอดหรือผัด เพราะมีจุดเกิดควันสูง (Smoke Point) ซึ่งช่วยป้องกันน้ำมันไหม้และสร้างสารพิษ

อย่างไรก็ตาม การกลั่นและความร้อนในกระบวนการผลิตจะทำลายสารต้านอนุมูลอิสระและสารอาหารที่สำคัญในน้ำมันให้ลดลง ทำให้น้ำมันกลั่นเหล่านี้มีสารอาหารน้อยกว่าน้ำมันสกัดเย็น นอกจากนี้ การใช้ซ้ำและความร้อนสูงในระหว่างการปรุงอาหารยังอาจสร้างสารพิษ เช่น สารอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพหากบริโภคเป็นประจำ

ความแตกต่างระหว่างน้ำมันสกัดเย็นและน้ำมันทั่วไป

น้ำมันสกัดเย็น และน้ำมันทั่วไปแตกต่างกันอย่างชัดเจนในหลายด้าน ทั้งกระบวนการผลิต คุณค่าทางโภชนาการ รสชาติ รวมถึงผลต่อสุขภาพเมื่อบริโภค

ประโยชน์ของน้ำมันสกัดเย็น
  • กระบวนการผลิต
    น้ำมันสกัดเย็นได้จากการกดสกัดน้ำมันโดยไม่ใช้ความร้อนเกิน 40 องศาเซลเซียส จึงรักษาสารอาหารและคุณภาพธรรมชาติไว้ได้มาก ขณะที่น้ำมันทั่วไปผ่านกระบวนการกลั่นและใช้ความร้อนสูง มีการใช้สารเคมีเพื่อสกัดน้ำมัน ทำให้สูญเสียสารอาหารบางส่วนและอาจมีสารตกค้าง
  • คุณค่าทางโภชนาการ
    น้ำมันสกัดเย็นยังคงมีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินอี และกรดไขมันจำเป็นในระดับสูง ในขณะที่น้ำมันทั่วไปมีสารเหล่านี้น้อยกว่า เนื่องจากกระบวนการกลั่นทำลายสารอาหารบางชนิด
  • รสชาติและกลิ่น
    น้ำมันสกัดเย็นมีกลิ่นหอมและรสชาติที่เป็นธรรมชาติ มักมีลักษณะพิเศษของวัตถุดิบต้นทาง เช่น กลิ่นหอมของมะกอกหรือเมล็ดงา ขณะที่น้ำมันทั่วไปมีรสชาติกลางๆ และกลิ่นอ่อน เพื่อให้เหมาะกับการปรุงอาหารหลากหลายประเภท
  • การเก็บรักษา
    น้ำมันสกัดเย็นควรเก็บไว้ในที่เย็นและแสงน้อย เพราะมีความไวต่อการเสื่อมคุณภาพ ขณะที่น้ำมันทั่วไปมีอายุการเก็บรักษานานกว่าและทนต่อความร้อนได้ดี
  • ผลต่อสุขภาพ
    น้ำมันสกัดเย็นช่วยเสริมสร้างสุขภาพหัวใจ ลดการอักเสบ และให้สารอาหารที่ดีต่อร่างกาย ส่วนที่ต้องระวังคือไม่ควรใช้ปรุงอาหารด้วยความร้อนสูงเกินไป เพราะอาจเสื่อมสภาพ ขณะที่น้ำมันทั่วไปเหมาะกับการทอดและปรุงด้วยความร้อนสูง แต่หากใช้บ่อยเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและสร้างอนุมูลอิสระได้

ประโยชน์ของน้ำมันสกัดเย็นต่อสุขภาพ

น้ำมันสกัดเย็นได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในด้านคุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์ต่อสุขภาพ เนื่องจากกระบวนการผลิตที่อุณหภูมิต่ำช่วยรักษาสารอาหารสำคัญไว้ครบถ้วน ส่งผลให้บริโภคแล้วได้รับประโยชน์ที่หลากหลาย

  • ช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจ
    น้ำมันสกัดเย็น เช่น น้ำมันมะกอก มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
  • ลดการอักเสบและอนุมูลอิสระ
    สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น โพลีฟีนอลและวิตามินอีในน้ำมันสกัดเย็นช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ป้องกันการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและโรคข้ออักเสบ
  • สนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน
    กรดไขมันจำเป็นและสารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันสกัดเย็นช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อและส่งเสริมการฟื้นฟูเซลล์ต่างๆ
  • บำรุงผิวพรรณและเส้นผม
    วิตามินอีและสารอาหารในน้ำมันสกัดเย็นช่วยบำรุงผิว ลดริ้วรอย และเพิ่มความชุ่มชื้น นอกจากนี้ยังช่วยให้เส้นผมแข็งแรงและเงางาม
  • เหมาะสำหรับเมนูที่ไม่ผ่านความร้อนสูง
    การใช้น้ำมันสกัดเย็นในเมนูน้ำสลัดหรืออาหารที่ไม่ทอด ช่วยรักษาคุณค่าทางอาหารในน้ำมันให้คงอยู่สูงสุด

ข้อจำกัดและข้อควรระวังของน้ำมันสกัดเย็น

แม้น้ำมันสกัดเย็นจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดและข้อควรระวังที่ควรทราบ เพื่อป้องกันการใช้ผิดวิธีและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

ข้อควรระวังน้ำมันสกัดเย็น
  • ราคาสูงกว่าน้ำมันทั่วไป
    กระบวนการผลิตที่พิถีพิถันและคุณภาพสูงทำให้น้ำมันสกัดเย็นมีราคาสูงกว่าน้ำมันที่ผ่านการกลั่นทั่วไป อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการใช้น้ำมันในปริมาณมากหรือใช้งบประมาณจำกัด
  • ไม่เหมาะสำหรับการทอดหรือปรุงอาหารด้วยความร้อนสูง
    น้ำมันสกัดเย็นมีจุดเกิดควันต่ำกว่าน้ำมันทั่วไป ทำให้ไม่เหมาะกับการทอดหรือผัดในอุณหภูมิสูง เพราะจะทำให้น้ำมันเสื่อมคุณภาพ เกิดสารพิษ และทำลายสารอาหารดีๆ ในน้ำมัน
  • ต้องเก็บรักษาอย่างระมัดระวัง
    น้ำมันสกัดเย็นมีความไวต่อแสงและอากาศ ควรเก็บในขวดที่ทึบแสงและในที่เย็น เพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ทำให้น้ำมันเหม็นหืนและเสียคุณภาพเร็ว
  • อายุการเก็บรักษาสั้นกว่า
    เนื่องจากรักษาสารอาหารไว้ครบถ้วน น้ำมันสกัดเย็นจึงมีอายุการเก็บรักษาสั้นกว่าน้ำมันกลั่นทั่วไป ควรใช้น้ำมันภายในระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อคุณภาพดีที่สุด
  • ระวังการโอเวอร์โดสในบางกรณี
    แม้น้ำมันสกัดเย็นจะดีต่อสุขภาพ แต่ก็ยังมีไขมันและแคลอรีสูง การบริโภคมากเกินไปอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มหรือเกิดปัญหาเกี่ยวกับไขมันในเลือดได้

น้ำมันสกัดเย็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ

น้ำมันสกัดเย็นแตกต่างจากน้ำมันทั่วไปในครัวอย่างชัดเจนทั้งในด้านกระบวนการผลิต คุณค่าทางอาหาร และผลกระทบต่อสุขภาพ กระบวนการสกัดเย็นช่วยรักษาสารอาหารสำคัญและสารต้านอนุมูลอิสระไว้ครบถ้วน ทำให้น้ำมันประเภทนี้เหมาะสำหรับเมนูที่ไม่ผ่านความร้อนสูง เช่น น้ำสลัดหรือการคลุกเคล้าอาหาร ที่ต้องการรสชาติและคุณภาพดี

ในขณะที่น้ำมันทั่วไปเหมาะกับการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนสูง เช่น การทอด แต่มีข้อจำกัดเรื่องการสูญเสียสารอาหารและอาจมีสารพิษเกิดขึ้นหากใช้น้ำมันซ้ำหรือใช้ในอุณหภูมิสูงมาก ๆ

การเลือกใช้น้ำมันสกัดเย็นอย่างเหมาะสม สำคัญทั้งในแง่การรักษาคุณภาพและการดูแลสุขภาพ ควรเก็บรักษาในที่เย็นและแสงน้อย เพื่อรักษาคุณสมบัติของน้ำมันให้ดีที่สุด และใช้อย่างพอดีไม่มากเกินไป

footer_button_check
footer_button_buy
footer_button_consult