ทำความรู้จัก Barrier ผิว และสาเหตุที่ทำให้เกิดความเปราะบาง

ในด้านโครงสร้าง Barrier ผิวประกอบด้วยเซลล์ผิว (Corneocytes) ที่เรียงตัวกันแน่นเหมือนกำแพงอิฐ และไขมันธรรมชาติที่เรียกว่า Lipids ซึ่งทำหน้าที่เหมือนปูนที่เชื่อมเซลล์ผิวแต่ละก้อนเข้าด้วยกัน ไขมันในช่องว่างนี้ประกอบด้วยเซราไมด์ (Ceramide) กรดไขมัน (Fatty Acids) และคอเลสเตอรอล (Cholesterol) ทำให้โครงสร้างนี้แข็งแรงและเก็บกักความชุ่มชื้นได้ดี

เมื่อ Barrier ผิวแข็งแรง ผิวจะเรียบเนียน ไม่แห้ง แพ้ง่าย หรือระคายเคืองได้ง่าย แต่เมื่อ Barrier ผิวอ่อนแอ จะทำให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ เช่น ผิวแห้ง ผิวลอก ผิวแพ้และระคายเคืองได้ง่าย รวมถึงลดประสิทธิภาพของการดูแลผิว ทำให้ริ้วรอยและความเปราะบางเพิ่มขึ้นได้

สาเหตุหลักที่ทำให้ Barrier ผิวเปราะบางในผู้หญิงวัย 40+ ได้แก่

• อายุที่เพิ่มขึ้น: กระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่จะช้าลง และการผลิตไขมันผิวธรรมชาติลดน้อยลง ทำให้เกราะป้องกันผิวบางลงและกักเก็บความชุ่มชื้นได้น้อยลง
• การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: ในวัยนี้ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ส่งผลให้ผิวแห้งบางและไวต่อการระคายเคืองมากขึ้น
• รังสี UV จากแสงแดด: การสัมผัสรังสีอัลตราไวโอเลตเป็นระยะเวลานานทำลายโครงสร้างคอลลาเจนและไขมันปกป้องผิว ทำให้ Barrier อ่อนแอและเกิดริ้วรอย ฝ้า กระตามมา
• ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมรุนแรง: สารระคายเคืองในโฟมหรือครีมที่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารกันเสีย อาจทำลายสมดุลของผิวและลดความสามารถของ Barrier

• การล้างหน้าบ่อยเกินไป: ทำให้ ไขมันธรรมชาติบนผิว ที่ช่วยปกป้องถูกชะล้างออก ส่งผลให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นและระคายเคืองง่าย
• สภาพอากาศและมลภาวะ: อากาศแห้ง หรือมีฝุ่นละออง ฝุ่น PM2.5 ทำให้ผิวติดสารพิษ เกิดความเครียดและทำลายเกราะป้องกันผิว
• ความเครียดและนอนหลับไม่เพียงพอ: ทำให้การฟื้นฟูผิวช้าลงและสมดุลฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติ ส่งผลต่อประสิทธิภาพของ Barrier

• ให้ความชุ่มชื้นเป็นหัวใจหลัก เลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่เข้มข้น มีส่วนผสมช่วยเสริม Barrier เช่น เซราไมด์ (Ceramide), กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid), เปปไทด์ (Peptides) ที่ช่วยกักเก็บน้ำและซ่อมแซมผิว
• ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกเช้า แม้ในวันที่ไม่ได้ออกจากบ้าน เพราะรังสี UVA และ UVB สามารถทำลาย Barrier ผิวและกระตุ้นการเกิดริ้วรอยได้
• ใส่ใจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว ไม่ใช้สารระคายเคืองหรือรุนแรง เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม และสารกันเสียที่ทำให้ผิวแห้งและไวต่อการระคายเคือง
• ผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ด้วย AHA หรือ BHA ชนิดอ่อน เพื่อกระตุ้นการเกิดเซลล์ผิวใหม่และทำให้ผิวเรียบเนียน แต่ระวังไม่ใช้แรงเกินไปจนทำให้ผิวบาง

• ดูแลผิวรอบดวงตาเป็นพิเศษ เพราะเป็นบริเวณที่บอบบางและมีแนวโน้มเกิดริ้วรอยเร็ว ควรใช้ครีมบำรุงที่มีเปปไทด์และวิตามิน E นวดเบา ๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียน
• ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น นอนให้เพียงพอ (6-8 ชั่วโมง), ลดความเครียด, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, ดื่มน้ำมากพอ และรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและโอเมกา-3
• หากมีปัญหาผิวลึก เช่น ริ้วรอยลึกหรือหย่อนคล้อย ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำการรักษาหรือทรีตเมนต์ที่เหมาะสม

• เซราไมด์ (Ceramides) ช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว ลดการสูญเสียน้ำ ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
• กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) เติมน้ำให้ผิวลึกถึงชั้นใน เพิ่มความยืดหยุ่นและผิวอิ่มน้ำ
• วิตามินบี 3 หรือไนอาซินาไมด์ (Niacinamide) ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว ลดริ้วรอยและความหมองคล้ำ

• เรตินอล (Retinol) กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเร่งผลัดเซลล์ผิว ช่วยลดริ้วรอยและจุดด่างดำ แต่อาจระคายเคืองได้ในผิวแพ้ง่าย ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง
• เปปไทด์ (Peptides) กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยให้ผิวแน่น กระชับ
• วิตามินซี (Vitamin C) ต้านอนุมูลอิสระ ลดจุดด่างดำและเพิ่มความกระจ่างใส